“สุวัจน์ -กรณ์” ผนึกกำลังชูซอฟท์พาวเวอร์ “ผ้าไหมไทยผ้าไหมโลก” โคราชเป็นศูนย์กลางของอีสาน เล็งจับมือแบรนด์ระดับโลกพัฒนาดีไซน์ให้เป็นผ้าไหมสากล
เริ่มต้นทำงานทันที หลังประกาศความร่วมมือกันอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่อพรรคใหม่ “ชาติพัฒนากล้า” ของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคฯ และ นายกรณ์ จาติกวณิช กรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา โดยทั้งสองได้พูดคุยกันถึงการผลักดันของดีโคราช คือ ผ้าไหม ซึ่งมีอัตตลักษณ์โดดเด่น สวยงามเป็นที่ยอมรับของชาวไทยและต่างประเทศ แต่การจำหน่ายยังอยู่ในวงที่จำกัด ซึ่งในแง่ทางเศรษฐกิจสามารถพัฒนาได้อีกมากจึงได้เรียกนายศักดา แสงกันหา มิสเตอร์ผ้าไหม-โคราช เข้ามาสอบถาม เนื่องจากเป็นคนที่คลุกคลีกับผ้าไหมมาตั้งแต่เด็ก โดยมองถึงความเป็นไปได้ ที่จะผลักดันให้ผ้าไหมไทยเป็นผ้าไหมของโลก มีคุณภาพมาตรฐาน โดยนายศักดา มองว่าขณะนี้ประเทศไทยเป็นรองแค่ประเทศจีนเท่านั้น ในเรื่องของปริมาณการผลิต ซึ่งแน่นอนด้วยพื้นที่และประชากร แต่เรื่องความสวยงามผ้าไหมโคราชและผ้าไหมของภาคอีสานไม่เป็นสองรองใคร สามารถพัฒนาโคราชให้เป็นศูนย์กลางผ้าไหมของภาคอีสาน และเป็นแหล่งผ้าไหมของโลกได้
“ผ้าไหมไทยเป็นศิลปะวัฒนธรรม เป็นหนึ่งใน ซอฟต์ พาวเวอร์ ของคนไทย ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้ความสนพระทัยเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงส่งเสริมให้มีการสร้างอาชีพจากการทอผ้า ในช่วงแรกพระองค์ทรงรับซื้อไว้เพื่อสร้างขวัญกำลังให้กับชาวบ้านทรงมีพระราชดำรัชว่า “ขาดทุนแต่เป็นกำไรให้กับประชาชน” พระองค์ทรงนำผ้าไหมเหล่านั้นนำไปเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จนทุกวันนี้ในระดับสากลผ้าไหมของไทยได้รู้จักและเป็นที่ยอมว่าเป็นผ้าไหมไทยเป็นผ้าที่มีความสวยสดงดงามประณีตละเอียดมาก ปัจจุบันผ้าไหมได้สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับพี่น้องในภาคอีสาน เป็นมูลค่ามหาศาลรวมทั้งชุมชนของผมด้วย” นายศักดา กล่าว
ด้านนายวรวุฒิ อุ่นใจ อดีตประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย หนึ่งในสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องทำให้คนไทย หันมาใช้ผ้าไหมไทยของโคราชก่อน ขณะนี้เดียวกันก็ต้องพัฒนาคุณภาพการผลิตและดีไซน์ ให้เป็นสากล เพื่อผลักดันให้โครงการผ้าไหมไทยเป็นผ้าไหมโลก โดยเริ่มที่ จ.นครราชสีมาเป็นจริง และขั้นตอนต่อไปคือ สร้างตลาดในประเทศ และส่งออก ซึ่งทั้งสองอย่างสามารถทำควบคู่กันไปได้เพราะในภาวะปกติ ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยมหาศาลอยู่แล้วในแต่ละปี เราต้องจัดเกรด ตั้งระดับมาตรฐานผ้าไหม หาตลาด พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ถ้าทำพวกนี้ได้ ผ้าไหมไทยก็จะเป็นผ้าไหมของโลกได้สำเร็จ และอาจต้องร่วมมือกับแบรนด์ดังระดับโลกเพื่อส่งผ้าไหมไทยสู่สากล ซึ่งทั้งหมดปลายทางคือ ชาวบ้าน เกษตรกรผู้เลี้ยงไหม จะมีรายได้เพิ่ม
สอดคล้องกับ นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ หรือ นายกอุ๊ ประธานโอทอปเทรดเดอร์ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า เรื่องของผ้าไหมเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับวิถีชุมชน คือ ชาวบ้าน ซึ่งพื้นฐานของคนโคราช ทอผ้าไหม สาวไหม และทำไว้ใช้เองอยู่แล้ว การที่จะเพิ่มรายได้ให้กับเขา ก็ต้องไปดูในเรื่องของกลางน้ำกับปลายน้ำ เราต้องสร้างตลาดของผ้าไหมให้มากกว่าที่คนไทยใช้ ต้องทำให้ผ้าไหมสามารถที่จะเป็นผ้าสากลที่ใช้กันทั่วโลก และทั่วโลกมีความต้องการในผ้าไหมของคนไทย ซึ่งมันจะย้อนกลับมาสู่เรื่องของการพัฒนา การออกแบบดีไซน์ การเพิ่มมูลค่าและเพิ่มคุณภาพของผ้าไหม ให้เขามีความรู้สึกว่าเป็นผ้าไหมโคราช ผ้าไหมไทย เป็นผ้าไหมดีมีคุณภาพ เป็นแบรนด์เนม มาเมืองไทยต้องซื้อกลับไปเป็นของฝากที่มีราคาและมีคุณค่าที่สุดของเขา เราต้องไม่ขายแค่ผ้าไหมแต่ต้องขายแบรนด์ของผ้าไหม
“พอมีผ้าไหมมีมูลค่า มีคุณค่า มันจะย้อนกลับไปที่ต้นทางทันทีคือ ชาวบ้าน ครัวเรือนต่าง ๆ ที่บรรดา แม่ ๆ ป้า ๆ ทั้งหลาย ที่สาวไหม เลี้ยงไหม และเป็นวิถีชีวิต ผูกพันกับเส้นไหม เขาจะมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น โดยที่เขายังใช้ชีวิตอยู่เหมือนเดิม ซึ่งวิธีการเหล่านี้ พรรคชาติพัฒนากล้า ต้องพัฒนา สนับสนุนและส่งเสริม โดยยกระดับโคราชให้เป็นเมืองผ้าไหมไทย เป็นเมืองผ้าไหมโลกได้ ซึ่งไม่ใช่ส่งผลดีแต่เฉพาะโคราชเท่านั้น แต่อีสานทั้งภาคจะได้ประโยชน์ด้วย เป็นภูมิภาคของผ้าไหม พี่น้องชาวอีสานทุกคนจะได้ประโยชน์จากโครงการ ผ้าไหมไทยสู่ผ้าไหมโลก ตลาดกลางเส้นใยไหม การเดินแบบระดับโลกการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ต้องเกิดขึ้นที่โคราช เพราะฉะนั้นพี่น้องชาวอีสาน ต้องร่วมมือกัน เรื่องเหล่านี้สำคัญ ที่เราต้องช่วยกัน ต้องให้โคราชเป็นหัวขบวนรถไฟความเร็วสูงเรื่องของผ้าไหม เพื่อเชื่อมไปสู่ถนนสายผ้าไหมในอนาคต” ประธานโอทอปเทรดเดอร์ประเทศไทย กล่าว
Recent Comments